ขั้นที่ 3 การใช้เท้า
การป้องกันเตะ
การใช้เท้า ในศิลปะมวยไทย แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ท่าเตะและท่าถีบ ซึ่งทั้งสองประเภทต่างเป็นอาวุธที่สำคัญที่สามารถใช้ได้ทั้งการโจมตีและการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นอาวุธช่วงยาวที่สามารถรุกหรือรับได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังใช้ในการหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ได้อีกด้วยศิลปะการใช้เท้า ภายในเล่มจะนำเสนอ การใช้เท้าในการเตะและการถีบหลากหลายรูปแบบ ตามแต่สถานการณ์ที่ต้องเผชิญอันประกอบไปด้วย ถีบตรง ถีบเหน็บ ถีบเซาะ ถีบจิก ถีบทิ้ง ถีบข้าง ถีบตบ ถีบกลับหลัง กระโดดถีบ ในส่วนของของการเตะก็เช่น การเตะ กระโดดเตะ เตะครึ่งแข้งครึ่งเข่า เตะตวัด เตะตีลังกา เหยียบเตะโดยแต่ละท่าเตะและท่าถีบ จะบอกขั้นตอนการออกอาวุธอย่างละเอียด พร้อมภาพประกอบ อีกทั้งสอดแทรกเกร็ดคำแนะนำ ที่จะทำให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจและเห็นภาพ
1. ถีบตรง
ถีบตรงคือการใช้ปลายเท้า ฝ่าเท้า หรือส้นเท้าปะทะคู่ชก ขาที่ถีบออกไปจะทำมุมฉากกับขาที่รับน้ำหนักตัวไว้ เป้าหมายสูงกว่าระดับโคนขาของคู่ชก ได้แก่ ท้องน้อย หน้าท้อง รักแร้ ชายโครง หัวใจ ลิ้นปี่ หรือปลายคาง ทิศทางในการถีบมีอยู่สามทางได้แก่ ถีบตรง ถีบเฉียงขึ้น และ ถีบเฉียงลง การใช้อาวุธขาเราสามารถทำได้ทั้งสองจุดประสงค์
ทั้งการรุกและการรับทั้งนี้เพราะขาเป็นอวัยวะที่แข็งแรง มั่นคง และรุนแรงในการออกอาวุธหากใช้ในการรุกก็เพื่อประโยชน์ในการก่อกวนให้คู่ต่อสู้เปิดช่องว่างแล้วจึงโจมตี หากใช้ในการรับก็เพื่อการตอบโต้ให้คู่ชกไม่สามารถเข้าทำได้ถนัดอีกทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้คู่ชกได้เป็นอย่างดี
2. ถีบเหน็บ
เราจึงมักใช้การถีบเหน็บเป็นลูกถีบนำ ใช้เป็นไม้รุกได้ดีเพื่อให้คู่ต่อสู้เสียจังหวะแล้วจึงตามด้วยอาวุธอื่น หากคู่ชกปิดป้องรัดกุมเราจะใช้การถีบเหน็บรบกวนที่ท้องน้อย เพื่อให้คู่ชกลดมือปัดป้องเป็นการเปิดโอกาสให้เราโจมตีร่างกายช่วงบนได้
3. ถีบเซาะ
4. ถีบจิก
5. ถีบทิ้ง
6. ถีบข้าง
หลายอย่างอีกด้วย ทั้ง แก้หมัด แก้เท้า เข่า หรือศอกด้วยการถีบสะกัดการรุกเข้าทำของคู่ชก สามารถใช้ได้ทั้งเท้าหน้าและหลัง หากใช้เท้าหน้าถีบให้น้ำหนักมาที่เท้าหลัง ยกเท้าหน้าขึ้นบิดเท้า สะโพก ลำตัว และไหล่มาทางตรงข้ามกับเท้าที่ถีบ งอเข่าและเหยียดขาพุ่งมาข้างหน้าให้ส้นเท้าปะทะเป้าหมาย ถ้าจะถีบด้วยเท้าหลังให้ยกเท้าหลังงอบิดเท้า เข่า สะโพก ลำตัว และไหล่ไปยังทิศตรงข้ามกับเท้าที่ถีบแล้วเหยียดขาออกอย่างรวดเร็ว
7. ถีบตบ
ใช้เท้าหน้าในการออกอาวุธน้ำหนักอยู่ที่เท้าหลัง เก็บคอและยกแขนป้องกันให้รัดกุมระหว่างออกอาวุธ เมื่อถูกจังหวะจะทำให้คู่ชกเสียจังหวะไปชั่วขณะทำให้เราสามารถหาช่องว่างในการโจมตีได้ง่ายยิ่งขึ้น
8. ถีบกลับหลัง
บางครั้งเมื่อเตะไม่ถูกเป้าหมายก็ใช้เท้าที่เตะพลาดนั้นงอพับเข้าแล้วยันออกไป เพื่อสกัดกั้นการโต้กลับของคู่ชกหรือเพื่อโจมตีคู่ชกที่ยังไม่ทันระวังตัวหรือเผอเรอ
9. กระโดดถีบ
เป้าหมายที่ปลายคาง คอ หน้าอก ลิ้นปี่ หรือ ท้องแรงปะทะที่เกิดจากการกระโดดถีบจะมีความรุนแรงมากเพราะมีแรงโถมน้ำหนักจากการกระโดดรวมอยู่ด้วย
10. เตะตรง
แข็งแกร่งทนทานจึงสามารถใช้ในการป้องกันการโจมตีด้วยเท้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย การตีเข่าหน้าเริ่มด้วยการถ่ายน้ำหนักจากเท้าหลังมาเท้าหน้าแล้วกระตุกเข่าตีขึ้นตรงๆ พร้อมถ่ายน้ำหนักตัวมาที่เท้าหลังจะทำให้น้ำหนักตัวส่วนมากมารวมที่ปลายเข่าที่ตีขึ้น เกร็งกล้ามเนื้อท้องที่ดึงพับเข่าและลำตัวเข้าสวนทางกันเป็นวิธีตีเข่าตรงที่ได้ผลดี
11. เตะเฉียง
คือการใช้ขาเหวี่ยงปะทะไปยังคู่ต่อสู้โดยมีเป้าหมายที่ชายโครง ลำตัว หรือปลายคางของคู่ต่อสู้ในแนวเฉียงจากพื้นสามารถใช้ได้ทั้งขาหน้าและขาหลังในการโอกาสที่คู่ต่อสู้เสียหลักจากการ
เหวี่ยงหมัดหรือเท้าหรือแม้แต่การยืนอยู่กับที่เราก็สามารถเตะเฉียงปะทะเป้าหมายได้เช่นกัน อวัยวะส่วนขามีขนาดใหญ่และแข็งแรงมากสร้างความเจ็บปวดให้คู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
12. เตะตัดบน
เราสามารถเตะสวนกับทิศทางที่เข้ามาที่เรียกว่าเตะทวนน้ำหรือเตะ ตามทิศทางการเข้ามาของคู่ต่อสู่ทางด้านหลัง เรียกว่าเตะตามน้ำก็ได้ แม้แต่คู่ต่อสู้ที่รัดกุมจนเกินไป เมื่อโดนแรงปะทะของขาแล้วใช้แขนกันก็จะได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมากเช่นกัน
13. เตะตัดกลาง
ดังนั้นจึงต้องอาศัยจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมในการใช้เช่น ในจังหวะที่คู่ต่อสู้ยืนเฉยไม่ระวังตัว หรือในระยะประชิดที่คู่ต่อสู้ออกอาวุธศอก หรือหมัดเข้าหาเราโดยเรามักจะเตะตัดกลางที่โคนขาหรือท้อง
14. เตะตัดล่าง
มุ่งโจมตีไปยังบริเวณข้อพับขาทั้งนอกและใน คู่ต่อสู้ที่ขาไม่แข็งแรงเมื่อโดนเตะตัดล่างจะได้รับความเจ็บปวดมาก ทำให้จู่โจมหรือเคลื่อนไหวลำบาก เราสามารถเพิ่มความรุนแรงของการเตะได้โดยการใช้แรงบิดสะโพก เอว ลำตัวและหัวไหล่เข้าช่วยการปะทะเป้าหมาย
15. จระเข้ฟาดหาง (เตะเหวี่ยงหลัง/ เตะกลับหลัง)
เตะกลับหลัง มวยไทยเรียกแม่ไม้ท่าเตะนี้ว่า จระเข้ฟาดหาง และกวางเหลียวหลัง หมายถึงการหมุนตัวหันหลังให้คู่ต่อสู้แล้วเหวี่ยงขาที่วางอยู่ด้านหลัง ให้ส้นเท้าปะทะเป้าหมาย คือ บริเวณ คอ คาง หน้าอก และ ท้อง
16. กระโดดเตะ
เกร็งกล้ามท้องและยกขาเตะกลางอากาศจะมีความรุนแรงหนักหน่วงมาก เมื่อปะทะเข้ากับคู่ชกถูกจังหวะอาจถึงขั้นหมดสติได้ในทันทีหรือสร้างความเจ็บปวดให้คู่ชกได้เป็นอย่างมาก
17. เตะครึ่งแข้งครึ่งเข่า
คือการเตะให้หน้าแข้งปะทะเข้าเป้าหมาย งอเข่าเล็กน้อยใช้ในโอกาสที่คู่ชกพุ่งเข้ามาหาเรา ใช้เพื่อสกัดการเข้าประชิดของคู่ชก
18. เตะตวัด
เตะกดหรือนาคาขนดหาง เป็นการเตะเมื่อเท้าลอยสูงสุดแล้วกดปลายเท้าและ หน้าแข้ง ลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนทิศทางของปลายเท้าเตะหักลงอย่างรวดเร็วทำให้การกดมีความรุนแรง เป้าหมายอยู่ที่ท้ายทอยก้านคอ ขมับ หน้าอก ท้อง หรือหลัง
19. ตีลังกาเตะ
หรือ พลิกข้อเท้าให้หลังเท้าหน้าแข้งเข้าเป้าหมายก็ได้ทิศทางที่เป็นวิถีโค้งตีลงมาจะสร้างแรงปะทะมหาศาลให้คู่ชกจนถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
20. เหยียบเตะ
แล้วตวัดขาอีกข้างเข้าเป้าหมายทันที คู่ชกจะได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรงตามบริเวณจุดปะทะดังกล่าวอาจถึงขั้นหมดสติได้ในทันที
21. ถอยสุดระยะกันเตะ, ถอยสุดระยะกันถีบ
การถอยให้พ้นระยะ หมายถึงการถอยให้ห่างคู่ต่อสู้ อาจจะกระโดดเลื่อนเท้า ถอยหลัง หรือก้าวถอยหลัง แต่ต้องให้พ้นระยะไม้มวยของคู่ต่อสู้ ดังนั้นการถอยนี้จึงหมายถึงการเคลื่อนที่ออกห่างคู่ต่อสู้ในจังหวะที่คู่ต่อสู้ใช้ไม้มวยจู่โจมมา เมื่อถอยพ้นระยะแล้วจะต้องอยู่ในท่าที่พร้อมจะตอบโต้คู่ต่อสู้ได้ทันที
22. จับ กันเตะ
อย่างไรก็ตามการทำให้ล้มต้องอาศัยศิลปะการใช้แรงเหวี่ยง เพราะการล้มบางครั้ง ไม่ต้องใช้แรงมากนัก ก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ล้มได้
23. ปัด กันเตะ, ปัด กันถีบ
การปัดให้ไม้มวยของคู่ต่อสู้เบี่ยงเบนออกไป หมายถึงการใช้ข้อมือ หรือแขนปัดไม้มวยของคู่ต่อสู้ ให้เบี่ยงเบนไปยังเป้าหมายอื่น หรือทำให้คู่ต่อสู้เสียหลัก เสียการทรงตัวเป็นการเปิดโอกาศให้เราใช้ไม้มวยตอบโต้ได้ ไม่ว่าจะเป็นไม้หมัด ไม้เตะ ไม้ถีบ ไม้เข่า และไม้ศอก เราสามารถปัดให้เบี่ยงเบนและเสียหลักได้ทั้งนั้น แต่ถ้าให้ไม้รับนี้ได้ผลมักจะใช้กับไม้มวยที่พุ่งมาในทิศทางตรง เช่น หมัดตรง ถีบตรง เข่าตรง เป็นต้น
24. ชิงถีบ กันเตะ, ชิงถีบ กันถีบ
25. โยกหลบ กันเตะ, โยกหลบ กันถีบ
การโยกตัวหรือเอนตัวให้พ้นระยะ บางท้องที่เรียกว่า “การดึงตัว” หมายถึงการโยกตัวหรือเอนตัวออกให้พ้นระยะไม้มวยของคู่ต่อสู้ไม่ให้มาปะทะตัวเรา โดยไม่ต้องกระโดดถอยหลัง หรือฉากหลบ เช่น เมื่อคู่ต่อสู้เตะตัดบนเป้าหมายลำตัวของเรา ให้รีบโก่งตัวไปทางด้านหลังให้เท้าคู่ต่อสู้ผ่านลำตัวไป การโยกตัวหรือเอนตัวลักษณะนี้ไม่นิยมออกห่างคู่ต่อสู้จนเกินไป เพราะถ้าอยู่ห่างไปจะทำให้ไม่สามารถตอบโต้คู่ต่อสู้ได้ทัน